โปรโมทเว็บไซต์คุณกับแอดยิ้มวันนี้ กระจายโฆษณาของคุณ สู่เว็บไซต์คุณภาพ

บทความล่าสุด

เว็บไซต์ e-commerce เขียนเว็บ HTML php Hosting

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แชร์ประสบการณ์การทำ ธุรกิจ E-Commerce

ขอแชร์ประสบการณ์ตรงของผมนะครับ อาจจะอ่านงง ๆ เพราะผมพิมพ์เลย ขี้เกียจมานั่งเกลา 

ส่วน ตัวทำเว็บขายต่างประเทศมาหลายปีแล้ว ขายกระเป๋าหนังครับ ทุกวันนี้มีออร์เดอร์สั่งมาเฉลี่ยวันละ 10 ใบ (ชิ้นนึงหักลบแล้วผมได้กำไรอย่างต่ำ 500 บาท) ยังไม่นับคู่ค้าที่ซื้อไปขายต่อ ที่มีมาประจำทุกเดือน ผมขอแบ่งการทำงานของผมดังนี้นะครับ

Website
หัวใจหลักของธุรกิจ ของผม เพราะเราไม่มีหน้าร้าน ลูกค้าไม่สามารถจะจับต้องสินค้าได้ก่อนตัดสินใจซื้อ ฉะนั้นต้องคิดให้ดีว่า ออกแบบยังไงให้สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้ ซึ่งการทำงานในส่วนนี้ผมแบ่งย่อยลงไปอีก

1. Design
ผมเคยทำงานออก แบบเว็บไซต์ครับ พอตัดสินใจกระโดดมาจับสินค้าและสร้างเว็บส่วนตัว แรกเริ่มเลยออกแบบเว็บอย่างเทพครับ ใส่แฟลชอลังการ หน้าเว็บประกายวูบวาบ กะว่าลูกค้าเข้ามาต้องประทับใจในฝีมือการออกแบบของผมแน่ ๆ  แต่ผมคิดผิด!!! ทำอยู่ปีแรก ไม่มีออร์เดอร์เลยครับ ตอนนั้นก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ทำไมไม่มาซื้อสินค้า ทั้ง ๆ ที่ราคาก็ไม่แพง (เรื่องการตั้งราคาขอข้ามก่อนไว้อ่านต่อด้านล่าง) คิดจนหัวแตก เลยตัดสินใจเปิดดูเว็บขายสินค้าของต่างประเทศ เว็บเหล่านี้ออกแบบง่าย ๆ ครับ สะอาดสะอ้าน มีการวางลิงค์เข้าหาสินค้าชัดเจน พูดง่าย ๆ เปิดมาปุ๊ปซื้อของได้ปั๊ป ไม่ต้องมานั่งดู Flash Intro หรือความหาทั้งเพจเพื่อจะเข้าไปดูโปรดักซ์ แต่สุดท้ายก็ยังไม่เจอ?!!? ผมจึงปรับปรุงรูปแบบเว็บใหม่ กว่าจะลงตัวทุกวันนี้ได้ ก็เปลี่ยนไปสองสามครั้งครับ และก็ยังคงคิดที่จะพัฒนาปรับปรุงมันอยู่ทุกวัน

2. Promote
มีเว็บแล้ว ต้องป่าวประกาศครับ ว่าเราขายอะไร ในที่นี้ผมทำอะไรบ้างมาดูกัน

1.1 SEO
ได้ เว็บหน้าตาใหม่แต่งสูทผูกไทอย่างดีแล้ว แต่จำนวนออร์เดอร์ก็ยังไม่มาตามที่ผมคาดหวังไว้ เอาล่ะวา!! เกิดอะไรขึ้น เริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง ที่มันไม่มีคนมาซื้อของ ๆ เรา อาจจะเป็นไปได้ว่า ๆไม่มีใครรู้ว่าเราทำเว็บนี้ขึ้นมา หรือเขาอาจจะค้นใน Search Engine ไม่เจอเว็บเราก็เป็นได้ เพราะได้คำตอบแล้ว ก็เริ่มศึกษา SEO แล้วล่้ะครับ และผมตั้งเป้าไว้ว่า จะโปรโมทเว็บโดยไม่ใช้ PPC เลย (ตอนนั้นไม่มีทุน) ผมใช้เวลาสามเดือน ทำให้เว็บติดอันดับต้นๆใน google จนได้ ซึ่งวิธีการ ผมก็หาอ่านเอาในเว็บนี่แหละครับ ซื้อหนังสือมาบ้าง ปรับออนเพจ ใส่คีย์เวิร์ดเดนซิตี้ กันสนุกมือ ซับมิต SB, SE กระจาย สุดท้ายก็สำเร็จดังตั้งใจไว้ครับ แต่ก็ยังไม่หยุดที่จะทำมันต่อไป

1.2 Classified Board
ตอน ที่ยังรับงานออกแบบเว็บอย่างจริงจัง ผมใช้วิธีโพสต์ตามเว็บลงประกาศ โพสต์โปรโมทเว็บให้กับลูกค้า ซึ่งก็ได้ผลดีระดับนึงเลยครับ แต่ต้องไม่ลืมใส่ลิงค์ของเว็บลงไปด้วยนะ ทีนี้พอมาขายสินค้าเอง ก็ยังใช้วิชานี้ในการเรียกลูกค้าเข้าร้านอยู่ครับ แต่เปลี่ยนจากโพสต์ในเว็บลงประกาศในไทย ก็ไปหาเว็บของต่างประเทศแทน อยากได้ประเทศไหนก็ค้นประเทศนั้นเลย เช่น usa classified board, uk free classified เป็นต้น ทำลิสต์ไว้แยกเป็นประเทศ ผมจะมีเว็บดู Worldtime (หาไม่ยาก) เพื่อดูว่าขณะที่เราโพสต์อยู่เนี่ย ประเทศนั้น ๆ กี่โมงแล้ว ถ้าโพสต์ไปแล้ว เขาจะมาเห็นโฆษณาเรามั้ย เพราะประกาศฟรีทั้งหลายมันจะลงไปเร็วมา โพสต์ชั่วโมงสองชั่วโมง ประกาศของเราก็ถูกผลักจนหายไปเลย

1.3 Email Marketing
ในเว็บของ ผมจะมีหน้าสำหรับให้ผู้เยี่ยมชมสมัครเพื่อรับข่าวสารจากทางเว็บ ผมก็ใช้ช่องทางนี้แหละครับ โปรโมทสินค้าใหม่ หรืออาจจะมีจัดรายการโปรโมชั่นส่งเฉพาะผู้ที่สมัครรับข่าวสารจากทางเรา คิดกลยุทธ คิดการตลาดไปเรื่อย ๆ สนุกครับ

1.4 Social Network
อัน นี้ผมเพิ่งลองได้ไม่นาน ก็เห็นว่าน่าจะไปได้ดีทีเดียว ผมเลือกใช้อยู่สองตัวคือ Facebook และ Twitter เอาไว้ส่งข่าวสาร พูดคุย รับฟังข้อติชม เพื่อเอามาพัฒนาสินค้าของเรา และเป็นการสร้าง CRM (Customer relationship management) ที่ง่ายและได้ผลดีระดับนึง


1.5 Trade site/B2B Marketplace
ตลาด กลางซื้อขายบนโลกออนไลน์ ก็มีความสำคัญนะครับ เว็บไซต์ดัง ๆ อย่าง Alibaba.com , globalsources.com, ec21.com, tradekeys.com ผมไม่พลาดที่จะไปสมัครและโพสต์โปรไฟล์ร้านเราไว้ เพื่อที่จะได้หาคู่ค้าธุรกิจมาซื้อส่งสินค้าของเรา เว็บเหล่านี้เขาให้เราลงภาพสินค้าด้วย อย่าพลาดโอกาสเชียวล่ะครับ

3. Contact
ช่อง ทางติดต่อครับ มีอะไรใส่ไปให้หมด อย่าไปกั๊ก ผมสังเกตุหลายเว็บไซต์ไม่ชอบลงที่อยู่กัน ไม่รู้ทำไม กลัวสรรพากรจะตามมาเจอรึเปล่า ฮา..... อย่าไปกลัวครับ เรามีที่อยู่ร้านชัดเจน ลูกค้าก็มั่นใจมากขึ้นเวลาจะจ่ายเงินให้กับเรา มีเบอร์โทรติดต่อได้ ก็ใส่ไป ผมเคยมีลูกค้าโทรมาหาตอนตีสาม โทรมาจากอังกฤษ ไอ้เราก็ง่วง ๆ แต่พอได้ยินตัวเลขออร์เดอร์เท่านั้น ตาสว่างเลย!! ที่สำคัญมาก ๆ นะครับ อีเมลล์ต้องตอบให้เราที่สุด!! อีเมลล์ก็เหมือนผักผลไม้ครับ เก็บไว้นาน ๆ จะเน่าจะเสียได้ ต้องรีบคว้ามาเคี้ยว เขาเขียนถึงเราแสดงว่าโอกาสที่เขาจะซื้อเราก็มีครึ่งนึงล่ะ แต่ถ้าเรามัวแต่รอเวลา ตอบช้า เขาก็ไปเว็บอื่น อย่าลืมนะครับ เราไม่ได้ทำเว็บไซต์อยู่คนเดียวในโลก

4. Marketing
ผมไม่มีชั้น เชิง ไม่มีกลยุทธอะไรมาก เน้นต่อยแบบมวยวัดเลย เอาสินค้าเรามาตั้งกลางโต๊ะและเริ่มวิเคราะห์เลย มันมีดีอะไร? ใครควรจะซื้อไปใช้ กลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มไหน พฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าเป็นยังไง เขาเล่นเน็ตบ่อยแค่ไหน เวลาไหน หรือสินค้านี้ขายได้เฉพาะช่วงเทศกาล เทศกาลอะไร ของ ๆ เรามีคู่แข่้งมั้ย ถ้ามีเขาขายเท่าไหร่ ทำไมเขาขายราคานั้น เราจะไปสู้เขาวิธีไหน คิดแล้วจดใส่กระดาษ จริง ๆ มันมีคำหรู ๆ อยู่คำนึงครับคือ SWOT (Strengths จุดแข็ง, Weaknesses จุดด้อย, Opportunities โอกาส, and Threats อุปสรรค) หาคำตอบจากมันให้เจอครับ แล้วจะสนุก!! เชื่อผม

5. Customer relationship management
"ความ สัมพันธ์กับลูกค้า" เพราะเราไม่ต้องการให้ลูกค้าซื้อของ ๆ เรา แล้วหายไปเลย แน่นอนเราต้องการให้เขากลับมาที่ร้านเราอีกเพื่อมาซื้อซ้ำ ถ้าคุณทำอย่างนั้นได้ ผมว่าคุณเข้าใกล้ึความสำเร็จอีกขั้นแล้วครับ!! ผมจึงมีระบบ CRM ตัวนี้ ทำงานควบคู่กับการขายของผมไปด้วย ระบบของผมสามารถจดบันทึกรายชื่อลูกค้าได้ว่า เขามาซื้อวันเวลาไหนของปี ซื้อสินค้าประเภทไหนไป ตอนที่เขาซื้อ เขาส่งข้อความอะไรมาหาเรามั้ย เช่น ช่วยห่อของขวัญให้หน่อย เขียนการ์ดอวยพรวันเกิดให้หน่อย เป็นต้น  นั่นหมายความว่าลูกค้าคนนี้มีวันพิเศษที่เขามาซื้อสินค้ากับเรา ฉะนั้นในแต่ละปี พอใกล้วันพิเศษของลูกค้าคนนี้ ผมก็จะส่งอีเมลล์ไปอวยพรวันเกิด หรือส่งโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะลูกค้าคนนี้ เป็นต้น พอจะเห็นแนวทางแล้วใช่มั้ยครับ?

6. Price
การตั้งราคา สินค้า ผมก็ลุยถั่วอีกล่ะครับ บอกตรง ๆ ผมไม่ได้เรียนทางการตลาด หรือทางเศรษฐศาสตร์อะไรเทือกนี้เลย ผมเลยไม่มีระบบคำนวณราคาที่เป็นสูตรสวยหรู ผมเอาง่าย ๆ เลย ซื้อมาเท่าไหร่ บวกกำไรที่เราต้องการ (เคยอ่านเจอว่าบวกไปให้ไม่ต่ำกว่า 30% ของต้นทุนของ) และคำนวณค่าขนส่งให้ดี สินค้าแต่ละตัวค่าส่งไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับน้ำหนัก และช่องทางในการส่ง จะส่งแบบด่วน ส่งกับไปรษณีย์หรือจะใช้บริการ courier อย่าง dhl, fedex ก็สุดแท้แต่ อย่างของผมส่งไปรษณีย์ครับ (แม้จะแอบด่าเขาอยู่บ่อยๆ  อิอิ) เพราะมันสะดวกครับ มีระบบคำนวณค่าส่งจากน้ำหนักในเว็บเขาอยู่แล้ว โดยแยกออกมาเป็นลิสต์ให้ดูเลยว่าแต่ละประเภทค่าส่งเท่าไหร่ บอกใบ้นิดครับ ลูกค้ายุคนี้เขาชอบคำว่า Free Shipping มาก ๆ ครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็คงต้องบวกราคาค่าส่งลงในราคาสินค้าไปเลย (ย้ำ!! ว่าอย่าคำนวณพลาด)

7. Payment
ช่องทางรับเงิน ผมใช้ Paypal ครับ สะดวกดี แถมทุกวันนี้บ้านเรามีคนรับซื้อเงิน Paypal หลายคน ทำให้ Cash Flow ไม่สะดุดด้วย เพราะไม่ต้องรอเวลาโอนเงินเข้าธนาคารหลายวัน ซึ่งแน่นอนผมตั้งราคาสินค้า โดยเอาเรตที่แลกกับเพื่อน ๆ เป็นตัวตั้งครับ ถ้าวันไหนอยากได้เงินเยอะหน่อย ก็โอนเข้าธนาคาร ก็จะมีกำไรเพิ่มขึึ้นอีกนิด อิอิ

8. คิดไม่ออกแล้วครับ 5555 ไว้ค่อยมาต่ออีกแล้วกัน (ถ้ายังนึกออกว่าขาดเรื่องอะไรนะครับ)

ปล. ที่พิมพ์มายาวเหยียดนี่ ประสบการณ์ตรงครับ เจอทั้งอุปสรรค ทั้งกลีบกุหลาบมาเยอะ โดนหลอกก็มี (เคยเขียนไว้หลายปีแล้วในบอร์ดนี่แหละ) ส่งสินค้าแล้วเขายื่นขอคืนเงินก็มี เกิดจากความสะเพร่าของตัวเองบ้าง รู้เท่าไม่ถึงการณ์บ้าง แต่เหล่านั้นผมถือเป็นค่าครูครับ ซื้อบทเรียนไป สำคัญคือผมไม่ย่อท้อครับ มุ่งมั่น ตั้งเป้า เป้าหมายผมอยู่ไกล แต่ผมเริ่มเดินด้วยก้าวเล็ก ๆ ก่อนเสมอ ทำเว็บขายของค้าต่างประเทศต้องอดทนครับ และ !!ต้องอึดครับ!! 

พิมพ์ผิดตกหล่นอะไรต้องขออภัยด้วยนะครับ ไม่ได้เกลา

 
ขอบคุณข้อมูลจาก คุณ lennethdark แห่ง TSB ครับ และ http://board.vayoclub.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น